Menu
Cart

สรุปแกรมม่า

Reflexive Pronouns myself yourself himself herself itself ourselves themselves คือ อะไร มีอะไรบ้าง ใช้ยังไง

Reflexive Pronouns คือ อะไร ใช้ยังไง มีอะไรบ้าง สรุปมาให้แล้ว

, , ,

Reflexive Pronouns คือ อะไร

Reflexive Pronouns คือ คำสรรพนามที่ใช้เพื่อเน้นว่าประธานเป็นผู้ทำกรรมในประโยคนั้นและได้รับผลนั้นเอง

 

Reflexive Pronouns มีอะไรบ้าง

Reflexive Pronouns จะมีอยู่ทั้งหมด    ตัว คือ

  • Myself
  • Yourself
  • Himself
  • Herself
  • Itself
  • Ourselves
  • Yourselves
  • Themselves

ถ้าแบ่งตามลักษณะการใช้กับประธานเอกพจน์ (Singular) -พหูพจน์ (Plural) จะแบ่งได้ตามนี้ค่ะ

Reflexive Pronouns myself yourself himself herself ourselves themselves คือ อะไร ใช้ยังไง มีอะไรบ้าง

Reflexive Pronouns ใช้เมื่อไหร่?

1. เมื่อประธานและกรรมเป็นคนเดียวกัน
ตัวอย่าง:

  • I taught myself to play the guitar.
    (ฉันสอนตัวเองเล่นกีตาร์)
  • She introduced herself to the new neighbors.
    (เธอแนะนำตัวเองกับเพื่อนบ้านใหม่)


ในประโยคเหล่านี้ Reflexive Pronouns ใช้เพื่อชี้ให้เห็นว่า “ใคร” เป็นทั้งผู้กระทำและผู้รับผล

2. ใช้เพื่อเน้นย้ำ (Emphasis)
ตัวอย่าง:

  • I made this cake myself.
    (ฉันทำเค้กนี้เอง)
  • They cleaned the house themselves.
    (พวกเขาทำความสะอาดบ้านเอง)


Reflexive Pronouns ในที่นี้ช่วยเน้นว่า “ใคร” เป็นผู้ลงมือทำ

 

ตัวอย่างการใช้ Reflexive Pronouns ในประโยค

1. ประธานและกรรมเป็นคนเดียวกัน

  • He blamed himself for the mistake.
    (เขาโทษตัวเองสำหรับความผิดพลาดนั้น)
  • We prepared ourselves for the presentation.
    (พวกเราเตรียมตัวเองสำหรับการนำเสนอ)


2. เน้นย้ำผู้ทำกริยา

  • The CEO herself made the announcement.
    (ซีอีโอเป็นคนประกาศเอง)
  • We painted the house ourselves.
    (พวกเราทาสีบ้านเอง)


3. ใช้คู่กับคำบุพบทบางประเภท

  • He talks to himself when he’s nervous.
    (เขาพูดกับตัวเองเมื่อเขารู้สึกประหม่า)
  • The cat saw itself in the mirror.
    (แมวเห็นตัวเองในกระจก)

 

เคล็ดลับในการใช้ Reflexive Pronouns

  1. สังเกตคำลงท้าย: คำเหล่านี้ลงท้ายด้วย -self (เอกพจน์) และ -selves (พหูพจน์)
  2. จับคู่กับประธานให้ถูกต้อง: Reflexive Pronouns ต้องสัมพันธ์กับประธาน เช่น I → Myself, We → Ourselves

 

Reflexive Pronouns ช่วยเพิ่มความชัดเจนและเน้นย้ำในประโยคภาษาอังกฤษ เราสามารถฝึกการใช้ Reflexive Pronouns ได้ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น ฝึกแต่งประโยคในชีวิตประจำวัน และฝึกทำแบบฝึกหัดเป็นประจำ เพียงเท่านี้ เราก็จะรู้หลักและวิธีใช้ Reflexive Pronouns และใช้ได้อย่างถูกต้องแน่นอนค่ะ

 

 

Demonstrative Pronouns This That These Those ใช้ต่างกันยังไง แบบฝึกหัดพร้อมเฉลย

Demonstrative Pronouns: This, That, These, Those ใช้ยังไง

, , ,

Demonstrative Pronouns: This, That, These, Those ใช้ยังไง

Demonstrative Pronouns คือ คำสรรพนามชี้เฉพาะ คือคำที่ใช้แทนคำนามเพื่อระบุสิ่งของ บุคคล หรือสถานที่ที่เรากำลังพูดถึง โดยเน้นถึงระยะทางและจำนวนของสิ่งที่กล่าวถึง เช่น สิ่งนั้นอยู่ใกล้หรือไกล และเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์

คำที่ใช้เป็น Demonstrative Pronouns ได้แก่:

This (นี้)
That (นั้น)
These (เหล่านี้)
Those (เหล่านั้น)

 

Demonstrative Pronouns มีหลักการใช้อย่างไร?

1. ใช้เพื่อชี้สิ่งของใกล้ตัว
This: ใช้กับสิ่งที่อยู่ใกล้ และเป็นเอกพจน์

ตัวอย่าง:

  • This is my book.
    (นี่คือหนังสือของฉัน)
  • This looks delicious.
    (นี่ดูน่าอร่อย)


These: ใช้กับสิ่งที่อยู่ใกล้ และเป็นพหูพจน์

ตัวอย่าง:

  • These are my friends.
    (เหล่านี้คือเพื่อนของฉัน)
  • These smell amazing!
    (เหล่านี้มีกลิ่นหอมมาก!)


2. ใช้เพื่อชี้สิ่งของไกลตัว
That: ใช้กับสิ่งที่อยู่ไกล และเป็นเอกพจน์

ตัวอย่าง:

  • That is your car over there.
    (นั่นคือรถของคุณตรงนั้น)
  • That looks like a great idea.
    (นั่นดูเป็นไอเดียที่ดี)


Those: ใช้กับสิ่งที่อยู่ไกล และเป็นพหูพจน์

ตัวอย่าง:

  • Those are my shoes.
    (เหล่านั้นคือรองเท้าของฉัน)
  • Those belong to him.
    (เหล่านั้นเป็นของเขา)

 

วิธีจำง่ายๆ

ดูที่ระยะทาง: 

This และ These ใช้กับสิ่งที่อยู่ใกล้ (นึกถึงคำว่า “ตรงนี้”)
That และ Those ใช้กับสิ่งที่อยู่ไกล (นึกถึงคำว่า “ตรงนั้น”)


ดูที่จำนวน:

This และ That ใช้กับสิ่งเดียว (เอกพจน์)
These และ Those ใช้กับหลายสิ่ง (พหูพจน์)

 

Demonstrative Pronouns กับ Demonstrative Adjectives ต่างกันอย่างไร?

แม้ว่าคำในกลุ่มนี้จะเหมือนกัน แต่หน้าที่ในประโยคแตกต่างกัน

Demonstrative Pronouns ใช้แทนคำนาม

  • This is beautiful. (นี่สวย)
  • Those are my favorite. (เหล่านั้นคือสิ่งที่ฉันชอบที่สุด)


Demonstrative Adjectives ใช้นำหน้าคำนามเพื่อขยายความ

  • This dress is beautiful. (ชุดนี้สวย)
  • Those flowers are lovely. (ดอกไม้เหล่านั้นงดงาม)

 

ตัวอย่างการใช้ Demonstrative Pronouns ในสถานการณ์จริง

การบอกสิ่งของ

  • What is this? (นี่คืออะไร?)
  • That is a museum. (นั่นคือพิพิธภัณฑ์)

การเปรียบเทียบสิ่งของ

  • This is smaller than that.
    (นี่เล็กกว่านั้น)
  • These are more expensive than those.
    (เหล่านี้แพงกว่าเหล่านั้น)


การแสดงความเห็น

  • This is amazing! (นี่สุดยอด!)
  • I don’t like those. (ฉันไม่ชอบเหล่านั้น)

 

Demonstrative Pronouns คือคำสรรพนามที่ช่วยชี้เฉพาะสิ่งที่เรากำลังพูดถึง โดยแบ่งตามระยะทางและจำนวน การที่เรารู้และเข้าใจวิธีใช้จะช่วยให้เราสามารถสื่อสารได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

อย่าลืม ฝึกทำแบบฝึกหัดและฝึกแต่งประโยคบ่อยๆ นะคะ 

Object Pronouns คืออะไร มีอะไรบ้าง ใช้ยังไง

Object Pronouns คืออะไร มีอะไรบ้าง ใช้ยังไง สรุปมาให้แล้วในโพสต์เดียว

, , ,

Object Pronouns คืออะไร มีอะไรบ้าง ใช้ยังไง สรุปมาให้แล้วในโพสต์เดียว

Object Pronouns หรือ คำสรรพนามที่แทนคำนามที่ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค (Object) โดยทำหน้าที่รับการกระทำจากกริยา (Verb) หรือคำบุพบท (Preposition) ช่วยให้ประโยคกระชับและหลีกเลี่ยงการใช้คำนามซ้ำหลายครั้ง

 

Object Pronouns มีอะไรบ้าง?

Object Pronouns มีทั้งหมด 7 คำ ได้แก่

  • me (ฉัน/ผม)
  • you (คุณ/พวกคุณ)
  • him (เขา – ผู้ชาย)
  • her (เธอ – ผู้หญิง)
  • it (มัน)
  • us (พวกเรา)
  • them (พวกเขา/พวกมัน)

 

การใช้ Object Pronouns

1. ใช้เป็นกรรมของกริยา (Direct Object)
Object Pronouns ทำหน้าที่รับผลจากการกระทำโดยตรง เช่น

ตัวอย่าง

  • I saw him at the park.
    (ฉันเห็นเขาที่สวนสาธารณะ)
  • She invited me to her party.
    (เธอเชิญฉันไปงานเลี้ยงของเธอ)


2. ใช้เป็นกรรมของคำบุพบท (Prepositional Object)
Object Pronouns ใช้ตามหลังคำบุพบท เช่น to, for, with, at, on

ตัวอย่าง:

  • The teacher gave the homework to us.
    (ครูให้การบ้านแก่พวกเรา)
  • Can you come with me?
    (คุณมากับฉันได้ไหม?)

 

ตัวอย่างการใช้ Object Pronouns ในประโยค
ลองมาดูตัวอย่างประโยคที่แสดงการใช้ Object Pronouns แบบหลากหลายบริบท

1.me

  • John told me a funny story.
    (จอห์นเล่าเรื่องตลกให้ฉันฟัง)
  • Can you help me, please?
    (คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม?)

2. you

  • We saw you at the mall yesterday.
    (เราเห็นคุณที่ห้างเมื่อวานนี้)
  • I’ll call you later.
    (ฉันจะโทรหาคุณทีหลัง)


3. him

  • They invited him to the wedding.
    (พวกเขาเชิญเขาไปงานแต่งงาน)
  • The dog followed him home.
    (สุนัขตามเขากลับบ้าน)


4. her

  • I met her at the bookstore.
    (ฉันเจอเธอที่ร้านหนังสือ)
  • We gave her a bouquet of flowers.
    (เรามอบช่อดอกไม้ให้เธอ)


5. it

  • He found it under the bed.
    (เขาพบมันใต้เตียง)
  • I can’t believe you ate it!
    (ฉันไม่อยากเชื่อว่าคุณกินมันเข้าไป!)


6. us

  • She told us a secret.
    (เธอบอกความลับกับพวกเรา)
  • Our parents took us to the zoo.
    (พ่อแม่พาเราไปสวนสัตว์)


7. them

  • I gave them some snacks.
    (ฉันให้ขนมพวกเขา)
  • Did you see them at the concert?
    (คุณเห็นพวกเขาที่คอนเสิร์ตไหม?)

 

Object Pronouns เป็นคำสำคัญในภาษาอังกฤษที่ช่วยให้ประโยคกระชับและหลีกเลี่ยงการพูดซ้ำ การเข้าใจวิธีการใช้ Object Pronouns จะช่วยให้เราเขียนและพูดภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและมั่นใจมากขึ้น อย่าลืม! ฝึกแต่งประโยคหรือฝึกทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ นะคะ จะช่วยให้เราเข้าใจ และใช้ได้ถูกต้องขึ้นแน่นอนค่ะ

Subject Pronouns คืออะไร มีอะไรบ้าง ใช้ยังไง

Subject Pronouns คืออะไร มีอะไรบ้าง ใช้ยังไง

, , ,

Subject Pronouns คืออะไร มีอะไรบ้าง ใช้ยังไง

Subject Pronouns คือ คำสรรพนามที่ใช้แทนคำนามที่ทำหน้าที่เป็น “ประธาน (ผู้กระทำ)” ของประโยค โดยช่วยลดความซ้ำซ้อนของการพูดคำนามเดิมๆ หลายครั้ง

Subject Pronouns มีอะไรบ้าง?

Subject Pronouns มีทั้งหมด 7 คำตามบุคคลและจำนวน ได้แก่

  • I (ฉัน) – ใช้เมื่อพูดถึงตัวเราเอง
  • You (คุณ/พวกคุณ) – ใช้เมื่อพูดถึงคนที่เรากำลังพูดด้วย
  • He (เขา – ผู้ชาย) – ใช้พูดถึงบุคคลเพศชาย
  • She (เธอ – ผู้หญิง) – ใช้พูดถึงบุคคลเพศหญิง
  • It (มัน) – ใช้พูดถึงสิ่งของหรือสัตว์
  • We (พวกเรา) – ใช้เมื่อพูดถึงตัวเราและผู้อื่น
  • They (พวกเขา) – ใช้เมื่อพูดถึงบุคคลหรือสิ่งของหลายสิ่ง

ตัวอย่างการใช้ Subject Pronouns

มาดูตัวอย่างการใช้ Subject Pronouns ในประโยคกันเถอะ

1. I (ฉัน)

  • I love reading books.
    (ฉันชอบอ่านหนังสือ)
  • I am going to the market.
    (ฉันกำลังจะไปตลาด)

2. You (คุณ)

  • You are very kind.
    (คุณใจดีมาก)
  • You need to finish your homework.
    (คุณต้องทำการบ้านให้เสร็จ)

3. He (เขา – ผู้ชาย)

  • He plays football every weekend.
    (เขาเล่นฟุตบอลทุกสุดสัปดาห์)
  • He is my best friend.
    (เขาคือเพื่อนสนิทของฉัน)

4. She (เธอ – ผู้หญิง)

  • She loves singing.
    (เธอชอบร้องเพลง)
  • She is working at the library.
    (เธอกำลังทำงานที่ห้องสมุด)

5. It (มัน)

  • It is raining outside.
    (ฝนกำลังตกข้างนอก)
  • It looks delicious.
    (มันดูน่าอร่อย)

6. We (พวกเรา)

  • We are going on a trip tomorrow.
    (พวกเรากำลังจะไปเที่ยวพรุ่งนี้)
  • We need to clean the house.
    (พวกเราต้องทำความสะอาดบ้าน)

7. They (พวกเขา/มัน)

  • They are playing in the park.
    (พวกเขากำลังเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ)
  • They look happy together.
    (พวกเขาดูมีความสุขด้วยกัน)

Subject Pronouns เป็นคำที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ เพราะช่วยทำให้ประโยคของเรากระชับและชัดเจน การเรียนรู้ Subject Pronouns ไม่เพียงช่วยลดความซ้ำซ้อน แต่ยังช่วยให้เราพูดและเขียนได้อย่างถูกต้อง

อย่าลืมฝึกแต่งประโยคโดยใช้ Subject Pronouns บ่อยๆ และฝึกทำแบบฝึกหัด Subject Pronouns หลายๆ แบบ จะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นนะคะ 

Pronouns คืออะไร มีอะไรบ้าง ใช้ยังไง

สรุปแกรมม่าภาษาอังกฤษ – Pronouns คืออะไร มีอะไรบ้าง ใช้ยังไง

, , ,

สรุปแกรมม่าภาษาอังกฤษ เข้าใจง่าย – Pronouns คืออะไร มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ใช้ยังไง อธิบายครบทุกคำถามในโพสต์เดียว 

สรุปแกรมม่า เข้าใจง่าย by LEARNbitat

โพสต์นี้ขอแชร์เรื่อง Pronouns หรือ คำสรรพนาม ในภาษาอังกฤษค่ะ 

หนึ่งในกลุ่มคำที่ใช้บ่อยมากถึงมากที่สุดในภาษาอังกฤษก็คงจะหนีไม่พ้น Pronouns หรือคำสรรพนาม ซึ่งช่วยลดความซ้ำซ้อนในประโยค ทำให้ประโยคดูกระชับและน่าฟัง บทความนี้ LEARNbitat จะมาอธิบายเกี่ยวกับ Pronouns หรือคำสรรพนามในภาษาอังกฤษแบบละเอียด พร้อมตัวอย่างที่เข้าใจง่าย ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลยค่ะ

Pronouns คืออะไร?

Pronouns คือคำที่ใช้แทนคำนาม (Nouns) เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำนามซ้ำๆ หลายครั้งในประโยค ตัวอย่างเช่น

แทนที่จะพูดว่า:

“Anna went to Anna’s house because Anna forgot Anna’s bag.”

เราใช้ Pronouns แทนได้เป็น:

“Anna went to her house because she forgot her bag.”

จากตัวอย่างนี้ จะเห็นได้ว่าการใช้ Pronouns แทนคำนามช่วยให้ประโยคกระชับและสละสลวยขึ้น

Pronouns มีกี่ชนิด อะไรบ้าง

หัวข้อนี้จะพามาทำความรู้จักกับประเภทของ Pronouns กันนะคะ ว่าจริงๆ แล้ว Pronouns มีทั้งหมดกี่ชนิด และมีอะไรบ้าง

1. Personal Pronouns (สรรพนามบุคคล)

ใช้แทนบุคคล สัตว์ หรือสิ่งของ แบ่งเป็น

  • Subject Pronouns: I, you, he, she, it, we, they (ใช้เป็นประธาน)
    ตัวอย่าง: She is a doctor.
  • Object Pronouns: me, you, him, her, it, us, them (ใช้เป็นกรรม)
    ตัวอย่าง: I saw him at the park.

▶️ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Personal Pronouns ที่นี่

2. Possessive Pronouns (สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ)
แสดงความเป็นเจ้าของของคำนาม โดยไม่ต้องตามด้วยคำนาม

  • Possessive Pronouns: mine, yours, his, hers, its, ours, theirs
  • ตัวอย่าง: The red car is mine.

▶️ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Possessive Pronouns ที่นี่

3. Reflexive Pronouns (สรรพนามสะท้อนกลับ)
ใช้เมื่อต้องการเน้นว่าประธานของประโยคทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยตัวเอง

  • Reflexive Pronouns: myself, yourself, himself, herself, itself, ourselves, yourselves, themselves
  • ตัวอย่างในประโยค: She cooked dinner by herself.

▶️ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Reflexive Pronouns ที่นี่

4. Demonstrative Pronouns (สรรพนามชี้เฉพาะ)
ใช้ชี้เฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยแบ่งเป็นใกล้ (this, these) และไกล (that, those)

  • Demonstrative Pronouns: this, that, these, those
  • ตัวอย่าง: This is my book. Those are yours.

▶️ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Demonstrative Pronouns ที่นี่

5. Interrogative Pronouns (สรรพนามคำถาม)
ใช้สำหรับตั้งคำถามในประโยค

  • Interrogative Pronouns: who, whom, whose, what, which, etc.
  • ตัวอย่าง: Who is knocking on the door?

▶️ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Interrogative Pronouns ที่นี่

6. Relative Pronouns (สรรพนามเชื่อมความ)
ใช้เชื่อมประโยคที่มีความสัมพันธ์กัน เช่นการขยายความคำนาม

  • Relative Pronouns: who, whom, whose, that, which, etc.
  • ตัวอย่าง: The boy who is wearing a red shirt is my brother.

▶️ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Relative Pronouns ที่นี่

7. Indefinite Pronouns (สรรพนามไม่เจาะจง)
ใช้พูดถึงสิ่งที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น บุคคลหรือสิ่งของที่ไม่ระบุแน่ชัด

  • Indefinite Pronouns: someone, anyone, everyone, no one, nothing, etc.
  • ตัวอย่าง: Someone left their bag here.

▶️ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Indefinite Pronouns ที่นี่

เคล็ดลับการเรียน Pronouns ให้เข้าใจ

1.แต่งประโยคง่ายๆ
ให้เด็กๆ ฝึกแต่งประโยคโดยใช้ Pronouns เช่น

  • I am happy today.
  • She is reading a book.
  • This is mine.

2. ฝึกทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ
ฝึกทำแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษที่มีโจทย์หลากหลายรูปแบบ เช่น การจับคู่คำ การเลือก Pronouns ที่ถูกต้องในประโยค หรือการจัดประเภทคำสรรพนาม การฝึกทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ จะช่วยให้เด็กๆ เข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องค่ะ

👉 คลิกที่นี่เพื่อดูแบบฝึกหัด Pronouns 

โดยสรุปแล้ว Pronouns เป็นคำที่สำคัญในภาษาอังกฤษ เพราะช่วยลดความซ้ำซ้อนและทำให้การสื่อสารกระชับขึ้น การที่เราเข้าใจประเภทต่างๆ ของ Pronouns และการฝึกใช้คำเหล่านี้ในประโยคบ่อยๆ จะช่วยพัฒนาทักษะการพูดและการเขียนได้อย่างมากและช่วยให้เราใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง

รู้อย่างนี้แล้วก็อย่ารอช้านะคะ เริ่มฝึกการใช้ Pronouns ในชีวิตประจำวัน เช่น พูดถึงสิ่งรอบๆ ตัว ฝึกแต่งประโยค หรือตั้งคำถามง่ายๆ ทำแบบนี้บ่อยๆ รับรองว่าต้องใช้ได้ถูกต้องอย่างแน่นอนค่ะ

Common Nouns and Proper Nouns คืออะไร มีอะไรบ้าง พร้อมตัวอย่าง

Common Nouns & Proper Nouns คืออะไร มีอะไรบ้าง พร้อมตัวอย่างแบบละเอียด

, , ,

Common Nouns & Proper Nouns คืออะไร มีอะไรบ้าง พร้อมตัวอย่างแบบละเอียด

ในภาษาอังกฤษ คำนาม (Nouns) ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก เพราะเป็นคำที่เราใช้เรียกชื่อสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ แต่รู้ไหมว่า คำนามแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ที่เราเจอกันบ่อย ได้แก่ Common Nouns (คำนามทั่วไป) และ Proper Nouns (คำนามเฉพาะ)

วันนี้เรามาเจาะลึกความหมาย ความแตกต่าง พร้อมตัวอย่างแบบเข้าใจง่ายๆ กันค่ะ

Common Nouns (คำนามทั่วไป)

Common Nouns คือคำนามที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ ทั่วไป โดยไม่ได้เจาะจงถึงชื่อเฉพาะ เช่น เด็ก แมว หนังสือ โรงเรียน ฯลฯ

ลักษณะของ Common Nouns

  • ไม่ต้องเขียนตัวอักษรตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ (ยกเว้นอยู่ต้นประโยค)
  • ใช้เรียกสิ่งต่างๆ แบบกว้างๆ หรือเป็นหมวดหมู่
  • สามารถเป็นได้ทั้ง Singular (เอกพจน์) และ Plural (พหูพจน์)

ตัวอย่าง Common Nouns

  • คน: teacher (ครู), doctor (หมอ), student (นักเรียน), friend (เพื่อน)
  • สัตว์: dog (สุนัข), cat (แมว), bird (นก), fish (ปลา)
  • สิ่งของ: table (โต๊ะ), chair (เก้าอี้), book (หนังสือ), bag (กระเป๋า)
  • สถานที่: school (โรงเรียน), park (สวนสาธารณะ), city (เมือง), beach (ชายหาด)
  • สิ่งนามธรรม: love (ความรัก), happiness (ความสุข), freedom (เสรีภาพ), knowledge (ความรู้)


ตัวอย่างประโยค

  • I saw a dog in the park.
  • She is reading a book.
  • The teacher is in the classroom.

 

Proper Nouns (คำนามเฉพาะ)

Proper Nouns คือคำนามที่ใช้เรียกชื่อเฉพาะของคน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ เช่น ชื่อบุคคล ชื่อเมือง หรือชื่อสถานที่สำคัญ

ลักษณะของ Proper Nouns

  • ต้องเขียนตัวอักษรตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ
  • ใช้ระบุชื่อเฉพาะ ไม่ใช่คำกว้างๆ

ตัวอย่าง Proper Nouns

  • คน: Alice (อลิซ), John (จอห์น), Dr. Smith (ดร.สมิธ), Mr. Brown (มิสเตอร์บราวน์)
  • สัตว์ (ที่มีชื่อ): Garfield (การ์ฟิลด์), Simba (ซิมบ้า), Snoopy (สนูปี้)
  • สถานที่: Bangkok (กรุงเทพฯ), Central Park (เซ็นทรัลพาร์ค), Mount Everest (ยอดเขาเอเวอเรสต์)
  • องค์กร: Google (กูเกิล), Apple (แอปเปิล), United Nations (องค์การสหประชาชาติ)
  • วันและเทศกาล: Monday (วันจันทร์), Christmas (คริสต์มาส), Songkran (สงกรานต์)


ตัวอย่างประโยค

  • Alice is my best friend.
  • We visited Central Park last summer.
  • Google is a famous tech company.

 

ตัวอย่างคู่ Common Nouns และ Proper Nouns

เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น มาดูตัวอย่างเปรียบเทียบกันค่ะ

  • Common Nouns: teacher / Proper Nouns: Mr. Johnson
  • Common Nouns: city / Proper Nouns: Bangkok
  • Common Nouns: dog / Proper Nouns: Snoopy
  • Common Nouns: book / Proper Nouns: Harry Potter
  • Common Nouns: mountain / Proper Nouns: Mount Fuji

 

สรุป

Common Nouns และ Proper Nouns เป็นพื้นฐานของการเรียนภาษาอังกฤษที่เราพบเจอบ่อยในชีวิตประจำวัน ความแตกต่างหลักๆ คือ Common Nouns ใช้เรียกสิ่งทั่วไป ในขณะที่ Proper Nouns ใช้เรียกชื่อเฉพาะ การฝึกแยกประเภทคำทั้งสองแบบจะช่วยให้เราเข้าใจและใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้นค่ะ ลองเริ่มสังเกตคำรอบตัวและฝึกแต่งประโยคไปพร้อมกันนะคะ! 😊

                    

 

Countable and Uncountable Nouns คืออะไร มีอะไรบ้าง พร้อมตัวอย่างคำศัพท์และประโยค

Countable & Uncountable Nouns คืออะไร มีอะไรบ้าง สรุปมาให้แล้ว

, , ,

Countable & Uncountable Nouns คืออะไร มีอะไรบ้าง สรุปมาให้แล้ว พร้อมตัวอย่างคำศัพท์

ในการเรียนภาษาอังกฤษ เราจะเจอกับคำนาม (Nouns) ที่แบ่งออกเป็น Countable Nouns (คำนามนับได้) และ Uncountable Nouns (คำนามนับไม่ได้) เป็นประจำ การเข้าใจความแตกต่างของคำนามทั้งสองประเภทนี้จะช่วยให้เราสื่อสารได้อย่างถูกต้องและชัดเจน เพราะคำบอกจำนวนและคำขยายจะแตกต่างกันไปตามประเภทของคำนาม

ถ้าพร้อมแล้ว มาเจาะลึกทั้งสองประเภท พร้อมตัวอย่างการใช้งานและคำที่เจอบ่อยกันค่ะ!

1. Countable Nouns (คำนามนับได้)

Countable Nouns คือคำนามที่สามารถนับจำนวนได้ เช่น แมว 1 ตัว หนังสือ 3 เล่ม หรือเก้าอี้ 10 ตัว โดยมีทั้งรูปเอกพจน์ (Singular) และพหูพจน์ (Plural)

ลักษณะเด่นของ Countable Nouns

  • มีรูปเอกพจน์และพหูพจน์
  • ใช้ a/an กับคำนามเอกพจน์ เช่น a cat, an apple
  • ใช้ตัวเลขบอกจำนวนได้ เช่น two dogs, five books


ลิสต์ตัวอย่างคำที่เจอบ่อย

  • สิ่งของในชีวิตประจำวัน: chair, table, pen, book, bottle
  • สัตว์: cat, dog, bird, horse, fish (เมื่อนับเป็นตัว เช่น three fish)
  • บุคคล: friend, teacher, student, child, man/woman
  • สิ่งของรอบตัว: car, house, flower, tree, bag

ตัวอย่างประโยค

  • I saw a book on the table.
  • She bought three apples at the market.
  • There are five chairs in the room.

 

2. Uncountable Nouns (คำนามนับไม่ได้)

Uncountable Nouns คือคำนามที่ไม่สามารถนับจำนวนได้โดยตรง มักเป็นสิ่งที่เป็นของเหลว วัตถุที่เล็กมากๆ หรือแนวคิดนามธรรม เช่น น้ำ ข้าว ความรัก หรือข้อมูล

ลักษณะเด่นของ Uncountable Nouns

  • ไม่มีรูปพหูพจน์
  • ไม่ใช้ a/an นำหน้า
  • ใช้คำบอกปริมาณ เช่น some, much, a lot of แทน


ลิสต์ตัวอย่างคำที่เจอบ่อย

  • ของเหลวและอาหาร: water, milk, coffee, rice, sugar
  • วัสดุและของใช้: paper, glass, wood, steel, plastic
  • สิ่งที่เป็นนามธรรม: love, information, knowledge, happiness, advice
  • ก๊าซ: air, oxygen, carbon dioxide, steam, smoke

ตัวอย่างประโยค

  • She needs some water to drink.
  • I have a lot of homework to do.
  • There is a little sugar in the jar.
  • The room is filled with smoke.

 

3. ความแตกต่างระหว่าง Countable และ Uncountable Nouns

Countable Nouns

  • สามารถนับจำนวนได้ เช่น 1, 2, 3…
  • มีรูปเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น dog → dogs
  • ใช้ a/an กับเอกพจน์ได้
  • ใช้ many กับพหูพจน์ เช่น many cars

Uncountable Nouns

  • นับจำนวนโดยตรงไม่ได้ ต้องใช้คำบอกปริมาณ
  • มีรูปเดียว เช่น water, sugar
  • ใช้ some, much, a lot of ได้
  • ใช้ much เช่น much money

 

5. การใช้คำบอกปริมาณกับ Countable และ Uncountable Nouns

Countable Nouns:

  • Many: How many chairs do you need?
  • A few: I have a few friends in this city.


Uncountable Nouns:

  • Much: How much water do you need?
  • A little: There is a little milk left in the fridge.

ใช้ได้ทั้งสองประเภท:

  • Some: I have some apples. / She needs some sugar.
  • A lot of: There are a lot of cars on the road. / We need a lot of water for the trip.

สรุป

Countable Nouns และ Uncountable Nouns เป็นหัวข้อที่เข้าใจไม่ยาก หากเรารู้หลักการใช้งานและฝึกสังเกตจากคำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน การแยกประเภทของคำนามให้ถูกต้องจะช่วยให้การเขียนและพูดภาษาอังกฤษของเราดูเป็นธรรมชาติและถูกต้อง ลองฝึกแต่งประโยคจากคำในลิสต์บ่อยๆ จะช่วยให้เราจำได้แม่นยำยิ่งขึ้นค่ะ 😊

Singular and Plural Nouns คืออะไร มีอะไรบ้าง

Singular Nouns & Plural Nouns เข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่างและ Irregular Nouns ที่ต้องรู้

, , ,

Singular Nouns & Plural Nouns เข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่างและ Irregular Nouns ที่ต้องรู้

Singular Nouns & Plural Nouns เข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่างและ Irregular Nouns ที่ต้องรู้

หลายๆ ครั้งที่เราพูดถึงคำนาม (Nouns) ในภาษาอังกฤษ เราจะเจอคำถามว่า “อันนี้คือสิ่งเดียวหรือหลายสิ่ง?” เพราะคำนามในภาษาอังกฤษจะแบ่งออกเป็น Singular Nouns (คำนามเอกพจน์) และ Plural Nouns (คำนามพหูพจน์) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้เราสื่อสารได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมชาติ

วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่อง Singular และ Plural Nouns แบบเข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่าง และเคล็ดลับสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึง Irregular Nouns (คำนามที่เปลี่ยนรูปในพหูพจน์) ที่ควรต้องจำกันค่ะ

1. Singular Nouns คืออะไร?

Singular Nouns คือคำนามที่ใช้พูดถึงสิ่งของ บุคคล หรือสถานที่ที่มีจำนวน “หนึ่งเดียว”

ตัวอย่าง:

  • A cat (แมว 1 ตัว)
  • A book (หนังสือ 1 เล่ม)
  • A child (เด็ก 1 คน)

เคล็ดลับ:
ส่วนใหญ่ Singular Nouns จะมีคำว่า a หรือ an นำหน้า เพื่อบอกว่าเป็นสิ่งเดียว เช่น a dog, an apple

——————————————–

2. Plural Nouns คืออะไร?

Plural Nouns คือคำนามที่ใช้พูดถึงสิ่งของ บุคคล หรือสถานที่ที่มีจำนวน “มากกว่าหนึ่ง” หรือ “หลายๆ อย่าง”

ตัวอย่าง:

  • Cats (แมวหลายตัว)
  • Books (หนังสือหลายเล่ม)
  • Children (เด็กหลายคน)


การเปลี่ยน Singular เป็น Plural

การเปลี่ยนคำนามเอกพจน์เป็นพหูพจน์มีกฎง่ายๆ ดังนี้:

 1. เติม -s
ใช้กับคำนามส่วนใหญ่

  • A dog → Dogs
  • A car → Cars

2. เติม -es
ใช้กับคำนามที่ลงท้ายด้วย -s, -ss, -sh, -ch, -x, -z

  • A bus → Buses
  • A box → Boxes

3. เปลี่ยน -y เป็น -ies
ใช้กับคำนามที่ลงท้ายด้วย -y และหน้าตัว -y เป็นพยัญชนะ

  • A baby → Babies
  • A lady → Ladies

ข้อยกเว้น: ถ้าหน้า -y เป็นสระ (a, e, i, o, u) ให้เติม -s ปกติ

  • A boy → Boys
  • A key → Keys


4. เติม -ves แทน -f หรือ -fe
ใช้กับคำนามที่ลงท้ายด้วย -f หรือ -fe

  • A wolf → Wolves
  • A knife → Knives

ข้อยกเว้น: บางคำเติมแค่ -s เช่น roofs หรือ chiefs

5. Irregular Nouns (คำนามที่เปลี่ยนรูป)
คำนามบางคำไม่มีกฎตายตัว ต้องจดจำเป็นพิเศษ (รายละเอียดในหัวข้อถัดไปค่ะ)

——————————————–

3. Irregular Nouns (คำนามที่เปลี่ยนรูป)

Irregular Nouns เป็นคำนามที่ไม่ได้เติม -s หรือ -es ตามปกติ แต่เปลี่ยนรูปในพหูพจน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องจำ แต่ถ้าฝึกใช้บ่อยๆ ก็จะคล่องเองค่ะ

ตัวอย่าง Irregular Nouns ที่พบบ่อย:

  • Man – Men ผู้ชาย
  • Woman – Women ผู้หญิง
  • Child – Children เด็ก
  • Foot – Feet เท้า
  • Tooth – Teeth ฟัน
  • Mouse – Mice หนู
  • Goose – Geese ห่าน
  • Person – People คน
  • Fish – Fish ปลา (ใช้ได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์)
  • Sheep – Sheep แกะ (ใช้ได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์)


เคล็ดลับ:
ฝึกจดจำ Irregular Nouns ผ่านการใช้ในประโยค เช่น:

  • The child is playing. → The children are playing.
  • I saw a mouse. → I saw two mice.

——————————————–

4. ข้อควรระวังในการใช้ Singular และ Plural Nouns

1. คำที่ไม่เปลี่ยนรูปในพหูพจน์
มีคำนามบางคำที่รูปเอกพจน์และพหูพจน์เหมือนกัน เช่น:

  • Deer → Deer
  • Series → Series


2. การใช้คำนำหน้า (Articles)

  • Singular: ใช้ a/an เช่น a cat, an egg
  • Plural: ไม่ต้องใช้ a/an แต่สามารถใช้ some หรือ any ได้ เช่น some apples, any dogs

3. Uncountable Nouns (คำนามนับไม่ได้)

คำนามบางคำ เช่น water, rice, information ไม่มีรูปพหูพจน์ เพราะนับไม่ได้ แต่เราสามารถใช้คำบอกปริมาณแทน เช่น a glass of water, two bags of rice

——————————————–

5. ตัวอย่างการใช้ Singular และ Plural Nouns ในประโยค

Singular Nouns:

  • I have a book on the table.
  • There is a man standing outside.

Plural Nouns:

  • I have three books on the table.
  • There are men standing outside.

——————————————–

สรุป

Singular Nouns และ Plural Nouns เป็นพื้นฐานสำคัญที่เราต้องเข้าใจและใช้ให้ถูกต้อง คำนามส่วนใหญ่เพียงเติม -s หรือ -es ก็กลายเป็นพหูพจน์ได้ แต่บางคำ เช่น Irregular Nouns ต้องใช้ความจำช่วย อย่าลืมฝึกใช้ในประโยคจริงๆ จะช่วยให้เราคล่องขึ้นค่ะ 😊

Nouns คือ อะไร

Nouns คืออะไร? เข้าใจง่ายๆ พร้อมตัวอย่างแบบจัดเต็ม!

, , ,

Nouns หรือ คำนาม ในภาษาอังกฤษคืออะไร? เข้าใจง่ายๆ พร้อมตัวอย่างแบบจัดเต็ม!

Nouns (คำนาม) คือคำที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ หรือความคิด/แนวคิด ถ้าเปรียบประโยคเป็นบ้าน คำนามก็คือเสาเอกที่ขาดไม่ได้ เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเรากำลังพูดถึงอะไรอยู่

มาลองดูกันว่า Nouns มีอะไรบ้าง พร้อมตัวอย่างที่เข้าใจง่ายกันเลย!

ประเภทของคำนาม (Nouns)

1. Proper Nouns (คำนามเฉพาะ)
คำนามเฉพาะคือชื่อเฉพาะที่บอกถึงคน สถานที่ หรือสิ่งของที่มีชื่อเฉพาะเจาะจง ต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ

ตัวอย่าง:
คน: John, Lisa
สถานที่: Bangkok, New York
สิ่งของเฉพาะ: Eiffel Tower, Amazon

ตัวอย่างประโยค:

Lisa is traveling to New York. (ลิซ่ากำลังเดินทางไปนิวยอร์ก)

2. Common Nouns (คำนามทั่วไป)
คำนามทั่วไปใช้เรียกคน สัตว์ หรือสิ่งของที่ไม่เจาะจง

ตัวอย่าง:
คน: teacher, student
สัตว์: dog, cat
สิ่งของ: table, book

ตัวอย่างประโยค:

I have a dog and a cat. (ฉันมีหมาหนึ่งตัวและแมวหนึ่งตัว)

3. Countable Nouns (คำนามนับได้)
คำนามที่สามารถนับจำนวนได้ มีรูปพหูพจน์และเอกพจน์ เช่น หนึ่งชิ้น สองชิ้น

ตัวอย่าง:
apple, car, chair

ตัวอย่างประโยค:

I bought three apples. (ฉันซื้อแอปเปิ้ลสามผล)

4. Uncountable Nouns (คำนามนับไม่ได้)
คำนามที่ไม่สามารถนับเป็นจำนวนได้ มักใช้กับสิ่งที่เป็นของเหลว ก๊าซ แนวคิด หรือสิ่งที่แบ่งแยกไม่ได้

ตัวอย่าง:
water, air, rice, happiness, advice

ตัวอย่างประโยค:

She needs some water. (เธอต้องการน้ำ)

5. Abstract Nouns (คำนามนามธรรม)
คำนามนามธรรมคือสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น ความรู้สึก แนวคิด

ตัวอย่าง:
love, happiness, freedom, courage

ตัวอย่างประโยค:

Love is the most powerful emotion. (ความรักคืออารมณ์ที่ทรงพลังที่สุด)

6. Concrete Nouns (คำนามรูปธรรม)
คำนามรูปธรรมคือสิ่งที่จับต้องได้และมองเห็นได้

ตัวอย่าง:
chair, flower, dog, building

ตัวอย่างประโยค:

The flower is blooming in the garden. (ดอกไม้กำลังบานในสวน)

 

การใช้งานคำนามในประโยค

1. ทำหน้าที่เป็นประธาน (Subject)

  • The cat is sleeping. (แมวกำลังนอนหลับ)

2. ทำหน้าที่เป็นกรรม (Object)

  • She is reading a book. (เธอกำลังอ่านหนังสือ)

3. ทำหน้าที่แสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive)

  • This is John’s car. (นี่คือรถของจอห์น)

 

สรุป

คำนาม (Nouns) คือส่วนสำคัญของประโยคที่ช่วยบอกว่าเรากำลังพูดถึงใครหรืออะไร ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือแนวคิดต่างๆ ลองสังเกตประโยคในชีวิตประจำวัน แล้วเราจะพบว่าคำนามมีอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด แค่รู้จักประเภทของคำนามและวิธีใช้งาน เราก็จะสามารถสร้างประโยคภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น และสนุกกับการเรียนภาษาอังกฤษได้มากขึ้นอีกด้วย! 😊

Parts of Speech มีอะไรบ้าง สรุปมาให้แล้ว

Parts of Speech คืออะไร มีอะไรบ้าง? สรุปพร้อมตัวอย่างประโยคเข้าใจง่าย

, , ,

Parts of Speech คืออะไร มีอะไรบ้าง? สรุปมาให้แล้ว พร้อมตัวอย่างประโยคแบบเข้าใจง่ายในโพสต์เดียว!

เคยสงสัยไหมว่าทำไมภาษาอังกฤษถึงต้องมีการจัดหมวดหมู่คำต่างๆ? คำตอบง่ายๆ คือเพื่อให้เราเข้าใจว่าคำไหนมีหน้าที่อะไรในประโยค เหมือนเวลาเล่นตัวต่อ ถ้าต่อให้ถูกชิ้น ทุกอย่างก็จะลงตัว! วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Parts of Speech ทั้ง 8 ประเภทกันแบบสนุกๆ พร้อมตัวอย่างที่เข้าใจง่าย

1. Noun (คำนาม)

คำนามคือคำที่ใช้เรียก คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ หรือแนวคิด คำนามเหมือนฮีโร่ในประโยค เพราะขาดไปแล้วจะไม่รู้ว่าพูดถึงอะไร

  • ตัวอย่างคำ: cat (แมว), school (โรงเรียน), happiness (ความสุข)
  • ตัวอย่างประโยค:
    – The dog is barking. (หมากำลังเห่า)
    – We went to the beach yesterday. (เราไปชายหาดเมื่อวานนี้)

2. Pronoun (คำสรรพนาม)

คำสรรพนามช่วยแทนคำนาม ไม่ต้องพูดซ้ำให้ยาวเกินไป เหมือนตัวช่วยประหยัดคำพูด

  • ตัวอย่างคำ: I, he, she, it, they
  • ตัวอย่างประโยค:
    – Anna loves reading. She reads every day. (แอนนาชอบอ่านหนังสือ เธออ่านทุกวัน)
    – This is my book. It is new. (นี่คือหนังสือของฉัน มันใหม่)

3. Verb (คำกริยา)

คำกริยาคือคำที่บอก การกระทำ หรือ สถานะ เรียกง่ายๆ ว่าคำที่ทำให้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในประโยค

  • ตัวอย่างคำ: run (วิ่ง), eat (กิน), is (เป็น/อยู่/คือ)
  • ตัวอย่างประโยค:
    – He plays football every weekend. (เขาเล่นฟุตบอลทุกสุดสัปดาห์)
    – I am happy today. (วันนี้ฉันมีความสุข)

4. Adjective (คำคุณศัพท์)

คำคุณศัพท์ทำหน้าที่บอกลักษณะของคำนามหรือสรรพนาม ให้เรารู้ว่าของนั้นเป็นยังไง

  • ตัวอย่างคำ: big (ใหญ่), beautiful (สวย), smart (ฉลาด)
  • ตัวอย่างประโยค:
    She has a beautiful garden. (เธอมีสวนที่สวยงาม)
    He is a smart boy. (เขาเป็นเด็กฉลาด)

5. Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)

คำกริยาวิเศษณ์บอกว่า ทำอย่างไร ที่ไหน หรือเมื่อไหร่ ช่วยขยายความกริยาให้ชัดเจนขึ้น

  • ตัวอย่างคำ: quickly (อย่างรวดเร็ว), yesterday (เมื่อวานนี้), here (ที่นี่)
  • ตัวอย่างประโยค:
    – She runs quickly to catch the bus. (เธอวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อขึ้นรถบัส)
    – They arrived yesterday. (พวกเขามาถึงเมื่อวานนี้)

6. Preposition (คำบุพบท)

คำบุพบทบอก ความสัมพันธ์ระหว่างคำ เช่น ตำแหน่งหรือเวลา

  • ตัวอย่างคำ: in (ใน), on (บน), at (ที่)
  • ตัวอย่างประโยค:
    – The keys are on the table. (กุญแจอยู่บนโต๊ะ)
    – We will meet at the park. (เราจะพบกันที่สวนสาธารณะ)

7. Conjunction (คำสันธาน)

คำสันธานใช้เชื่อมคำหรือประโยคเข้าด้วยกัน เหมือนกาวที่ช่วยให้ประโยคต่อกันได้

  • ตัวอย่างคำ: and (และ), but (แต่), because (เพราะว่า)
  • ตัวอย่างประโยค:
    – I like apples and oranges. (ฉันชอบแอปเปิลและส้ม)
    – He was tired, but he kept working. (เขาเหนื่อยแต่ก็ยังทำงานต่อ)

8. Interjection (คำอุทาน)

คำอุทานแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ มักจะใช้เมื่อเราตกใจหรือรู้สึกบางอย่าง

  • ตัวอย่างคำ: Wow!, Oh!, Oops!
  • ตัวอย่างประโยค:
    – Wow! That’s amazing! (ว้าว! นั่นน่าทึ่งมาก)
    – Oops! I dropped the glass. (โอ๊ะ! ฉันทำน้ำแก้วตก)

สรุปแบบชิลๆ

Parts of Speech ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด ถ้าลองมองประโยคหนึ่งๆ เหมือนตัวต่อที่แต่ละคำมีหน้าที่ของมัน เมื่อเข้าใจโครงสร้างเหล่านี้แล้ว การพูด อ่าน หรือเขียนภาษาอังกฤษจะกลายเป็นเรื่องง่าย ลองหยิบประโยคใกล้ตัวมาดูสิ แล้วคุณจะพบว่าการเรียนภาษาอังกฤษสนุกกว่าที่คิด! 😊