Menu
Cart

Literacy

Sight Words คือ อะไร

Sight Words คือ อะไร? รู้ Sight Words แล้วจะช่วยให้เด็กอ่านได้คล่องขึ้นได้จริงหรือ

, ,

Sight Words คืออะไร? รู้ Sight Words แล้วจะช่วยให้เด็กอ่านได้คล่องขึ้นได้จริงหรือ

หากคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกๆ อ่านภาษาอังกฤษได้คล่องแต่ยังไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี บทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับชุดคำศัพท์ที่เรียกว่า Sight Words ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยให้เด็กๆ อ่านได้คล่องขึ้นและไวขึ้นแบบติดสปีดกันเลยค่ะ

Sight Words คืออะไร?

Sight Words คือชุดคำศัพท์พื้นฐานในภาษาอังกฤษที่เด็กควร “จำได้ทันทีที่เห็น” โดยไม่ต้องสะกดทีละตัว เพราะคำเหล่านี้มักไม่เป็นไปตาม Phonics กล่าวคือ ใช้วิธีถอดรหัสเสียงเพื่ออ่านไม่ได้ เช่น the, said, come, was, does เป็นต้น

โดยคำเหล่านี้มักเป็นคำที่พบเจอได้บ่อยมากในหนังสือสำหรับเด็กและหนังสือทั่วไปมากกว่า 50-75% เลยทีเดียว
เพราะฉะนั้น หากเด็กๆ สามารถจดจำ Sight Words ได้แล้ว ก็จะช่วยให้อ่านหนังสือได้คล่องและเร็วขึ้นนั่นเองค่ะ

ทำไม Sight Words ถึงสำคัญ?

✅ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการอ่าน
เนื่องจาก Sight Words เป็นเป็นคำที่พบเจอได้บ่อยมากในการอ่าน ดังนั้น หากเด็กๆ สามารถจำคำพวกนี้ได้แล้ว ก็จะช่วยให้เด็กๆ อ่านได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องหยุดเพื่อสะกดทุกครั้งที่เจอ

✅ ลดความสับสน
เพราะหลายคำไม่สามารถอ่านตามแบบ Phonics ได้ เช่น “was” ไม่ได้ออกเสียงตามตัวเลย

✅ ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาที่อ่านได้ดีขึ้น
การรู้คำเหล่านี้จะช่วยให้เด็กโฟกัสกับความหมายของเนื้อเรื่องมากขึ้น แทนที่จะติดอยู่กับการถอดรหัสทีละตัวอักษร

✅ เป็นพื้นฐานที่ดีของการเขียน
Sight Words มักใช้บ่อยในการเขียนประโยคง่ายๆ เช่น “I like to go to the park.” เมื่อเด็กจำคำได้ ก็เขียนได้ง่ายขึ้น

อยากเริ่มสอน Sight Words ให้ลูก เริ่มจากตรงไหนดี?

การฝึก Sight Words ควรทำอย่างสม่ำเสมอและน่าสนุก เพื่อให้เด็กจดจำคำได้โดยไม่รู้สึกเบื่อ เลือกระดับที่เหมาะสมกับวัย โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ คือ

  1. Sight Words ระดับ Preschool
  2. Sight Words ระดับ Kindergarten
  3. Sight Words ระดับ 1st Grade
  4. Sight Words ระดับ 2nd Grade
  5. Sight Words ระดับ 3rd Grade

วิธีที่แนะนำ ได้แก่:

✅ แฟลชการ์ดคำศัพท์
ใช้แฟลชการ์ดคำศัพท์เพื่อช่วยให้เด็กจดจำง่ายขึ้น

✅ ฝึกอ่านประโยคตัวอย่าง
ให้เด็กฝึกอ่านประโยคง่ายๆ ที่ประกอบด้วย Sight Words ที่เรียนไปแล้ว เพื่อสร้างความเข้าใจในบริบท

✅ แบบฝึกหัดช่วยจำ

ฝึกจากแบบฝึกหัดที่มีกิจกรรมหลายๆ แบบเพื่อช่วยฝึกการมองเห็น การจำ และการใช้ Sight Words อย่างเป็นระบบ

✅ เล่นเกมคำศัพท์
เช่น เกมบิงโก, เกมจับคู่คำ, หรือเกมค้นหาคำ (word search)

โดยสรุปแล้ว

Sight Words คือหัวใจสำคัญของการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก การฝึกฝนคำเหล่านี้ตั้งแต่ระดับต้นๆ จะช่วยให้เด็กอ่านคล่อง เขียนเก่ง และเข้าใจภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น

หากบ้านไหนกำลังมองหาแนวทางฝึกอ่านที่มีประสิทธิภาพ เริ่มต้นจาก Sight Words คือทางเลือกที่ดีที่สุด และเราพร้อมช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สอนลูกได้ง่ายและสนุกยิ่งขึ้นค่ะ

 

Digraphs คืออะไร

Digraphs คืออะไรในภาษาอังกฤษ ออกเสียงอย่างไร

, ,

Digraphs คืออะไรในภาษาอังกฤษ แตกต่างจากเสียงพยัญชนะทั่วไปอย่างไร 

นอกจากเสียงพยัญชนะแบบเดี่ยวๆ แล้ว ยังมีเสียงพยัญชนะอีกกลุ่มหนึ่งที่เกิดจากการนำพยัญชนะสองตัวมารวมกันเพื่อสร้างเสียงใหม่ที่ไม่เหมือนเสียงของตัวเองแบบเดี่ยวๆ การรวมพยัญชนะสองตัวเข้าด้วยกันแล้วทำให้เกิดเสียงใหม่นี้ เราเรียกว่า Digraphs ค่ะ

Digraphs คืออะไร?

Digraphs คือการรวมกันของตัวอักษรสองตัวที่ออกเสียงเป็นเสียงเดียว เสียงที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างจากเสียงของตัวอักษรเดี่ยวๆ หรืออาจเป็นการรวมเสียงที่มีลักษณะเฉพาะ ตัวอย่างเช่น “sh” ในคำว่า ship ที่สร้างเสียง /ʃ/ หรือ “ch” ในคำว่า chair ที่สร้างเสียง /tʃ/

Digraphs มีสองประเภทหลัก:

  1. Consonant Digraphs – เสียงที่เกิดจากพยัญชนะสองตัว
  2. Vowel Digraphs – เสียงที่เกิดจากสระสองตัว

ประเภทของ Digraphs พร้อมตัวอย่าง

1. Consonant Digraphs
กลุ่มเสียงที่เกิดจากพยัญชนะสองตัวที่รวมกัน

  • “sh” – เสียง /ʃ/
    ตัวอย่างคำ:

                ship (เรือ)
                shoe (รองเท้า)
                fish (ปลา)

  • “ch” – เสียง /tʃ/
    ตัวอย่างคำ:

                chair (เก้าอี้)
                child (เด็ก)
                lunch (อาหารกลางวัน)

  • “th” – เสียง /θ/ หรือ /ð/
    ตัวอย่างคำ:

                /θ/: think (คิด), path (เส้นทาง)
                /ð/: this (นี้), brother (พี่ชาย/น้องชาย)

  • “ph” – เสียง /f/
    ตัวอย่างคำ:

               phone (โทรศัพท์)
               elephant (ช้าง)
               photo (ภาพถ่าย)

  • “wh” – เสียง /w/ หรือ /hw/
    ตัวอย่างคำ:

               what (อะไร)
               when (เมื่อไหร่)
               wheel (ล้อ)

  • “ck” – เสียง /k/
    ตัวอย่างคำ:

                duck (เป็ด)
                back (หลัง)
                black (สีดำ)

2. Vowel Digraphs
กลุ่มเสียงที่เกิดจากสระสองตัวที่รวมกัน

  • “ai” – เสียง /eɪ/
    ตัวอย่างคำ:

                rain (ฝน)
                train (รถไฟ)
                pain (ความเจ็บปวด)

  • “ea” – เสียง /iː/ หรือ /ɛ/
    ตัวอย่างคำ:

                 /iː/: seat (ที่นั่ง), leaf (ใบไม้)
                 /ɛ/: head (หัว), bread (ขนมปัง)

  • “ee” – เสียง /iː/
    ตัวอย่างคำ:

               tree (ต้นไม้)
               bee (ผึ้ง)
               see (มองเห็น)

  • “oa” – เสียง /oʊ/
    ตัวอย่างคำ:

               boat (เรือ)
               goat (แพะ)
               road (ถนน)

  • “ou” – เสียง /aʊ/ หรือ /ʌ/
    ตัวอย่างคำ:

              /aʊ/: house (บ้าน), mouse (หนู)
               /ʌ/: young (หนุ่มสาว), touch (สัมผัส)

วิธีฝึก Digraphs อย่างง่าย

  1. ใช้แฟลชการ์ด สร้างแฟลชการ์ดคำศัพท์ที่มี Digraphs และฝึกอ่านออกเสียง
  2. อ่านคำที่มี Digraphs ออกเสียงช้าๆ ให้เด็กๆ สังเกตว่าเสียงเกิดขึ้นอย่างไร เช่น sh ใน ship
  3. เล่นเกมคำศัพท์ เช่น เกมจับคู่คำที่มี Digraphs เดียวกัน (ship – shoe หรือ rain – train)
  4. ฟังและเขียนคำที่มี Digraphs ฝึกให้เด็กๆ ฟังคำที่ออกเสียงและเขียนคำศัพท์ตาม

Digraphs เป็นส่วนสำคัญของการเรียน Phonics เพราะช่วยให้เด็กๆ เข้าใจโครงสร้างเสียงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น การเรียนรู้ Digraphs ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านและการออกเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Consonants เสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษ มีอะไรบ้าง ออกเสียงอย่างไร

Consonant Sounds เสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษมีอะไรบ้าง ออกเสียงอย่างไร

, ,

Consonant Sounds หรือเสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษมีกี่เสียง อะไรบ้าง ออกเสียงอย่างไร

การเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้เข้าใจและพูดได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่แค่การรู้คำศัพท์ แต่ยังต้องเข้าใจเสียงต่างๆ ด้วย หนึ่งในพื้นฐานสำคัญของการเรียนเสียงในภาษาอังกฤษคือ Consonant Sounds หรือเสียงพยัญชนะ

บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ Consonant Sounds อย่างละเอียด พร้อมตัวอย่างสำหรับฝึกออกเสียง ถ้าพร้อมแล้ว เราไปเริ่มกันเลยค่ะ

Consonant Sounds คืออะไร?

ก่อนอื่นเลย เราจะมาทำความเข้าใจก่อนว่า “พยัญชนะ” กับ “เสียงพยัญชนะ” ถึงแม้จะมีความเชื่อมโยงกัน แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งเดียวกันนะคะ 

Consonants หรือ พยัญชนะ คือ ตัวอักษรที่เราเห็น โดยในภาษาอังกฤษจะมีพยัญชนะอยู่ทั้งหมด 21 ตัว ได้แก่ B, C, D, F, G, H, J, K, L, M, N, P, Q, R, S, T, V, W, X, Y, Z

ส่วน Consonant Sounds หรือ เสียงพยัญชนะ คือเสียงที่เราได้ยิน โดยจะมีทั้งหมด 24 เสียงในภาษาอังกฤษ โดยอาจไม่ตรงกับจำนวนตัวอักษร (21 ตัว) เสมอไป เพราะบางตัวอักษรสามารถให้เสียงได้หลากหลาย

 

การออกเสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษ

พยัญชะแต่ละตัวในภาษาอังกฤษอาจให้เสียงแตกต่างกันตามคำที่ปรากฏ เช่น

    1. B: /b/                             ตัวอย่างคำ: bat, big
    2. C: /k/ หรือ /s/              ตัวอย่างคำ: cat (/k/), city (/s/)
    3. D: /d/                            ตัวอย่างคำ: dog, dance
    4. F: /f/                              ตัวอย่างคำ: fish, fun
    5. G: /g/ หรือ /ʤ/            ตัวอย่างคำ: go (/g/), giant (/ʤ/)
    6. H: /h/                            ตัวอย่างคำ: hat, house
    7. J: /ʤ/                            ตัวอย่างคำ: jump, jungle
    8. K: /k/                             ตัวอย่างคำ: kite, king
    9. L: /l/                              ตัวอย่างคำ: lamp, love
    10. M: /m/                          ตัวอย่างคำ: man, mouse
    11. N: /n/                            ตัวอย่างคำ: name, nice
    12. P: /p/                             ตัวอย่างคำ: pen, play
    13. Q: /kw/                          ตัวอย่างคำ: queen, quick
    14. R: /r/                              ตัวอย่างคำ: red, run
    15. S: /s/ หรือ /z/                ตัวอย่างคำ: sun (/s/), has (/z/)
    16. T: /t/                               ตัวอย่างคำ: top, time
    17. V: /v/                              ตัวอย่างคำ: van, visit
    18. W: /w/                            ตัวอย่างคำ: water, window
    19. X: /ks/, /gz/, หรือ /z/   ตัวอย่างคำ: box (/ks/), exam (/gz/), xylophone (/z/)
    20. **Y: /j/ (เมื่อเป็นพยัญชนะ) ตัวอย่างคำ: yes, yellow
    21. Z: /z/                                 ตัวอย่างคำ: zoo, zero


**ตัวอักษร Y มีลักษณะพิเศษ เพราะสามารถทำหน้าที่เป็นได้ทั้งพยัญชนะและสระ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งในคำ

  • ตัวอย่างที่เป็นพยัญชนะ: yes, yellow
  • ตัวอย่างที่เป็นสระ: happy, sky

 

การที่เด็กๆ สามารถจำเสียงพยัญชนะและออกเสียงได้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้เข้าใจโครงสร้างคำ และอ่านออกเสียงคำได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น อย่าลืมฝึกกันบ่อยๆ นะคะ

Diphthongs เสียงสระผสมในภาษาอังกฤษ คืออะไร มีอะไรบ้าง ออกเสียงยังไง พร้อมตัวอย่างคำศัพท์

Diphthong Vowels คืออะไร คำอธิบายพร้อมตัวอย่างคำศัพท์

, ,

Diphthongs เสียงสระผสมในภาษาอังกฤษ คืออะไร มีอะไรบ้าง อธิบายง่ายๆ พร้อมตัวอย่างคำศัพท์

ในภาษาอังกฤษ มีเสียงพิเศษที่เกิดจากการรวมกันของสระสองตัวในพยางค์เดียว เราเรียกเสียงนี้ว่า Diphthongs (อ่านว่า ดิพธองส์) ซึ่งเป็นเสียงลูกผสมที่เริ่มต้นด้วยเสียงหนึ่งแล้วลื่นไหลไปยังอีกเสียงหนึ่งในคำเดียวกัน

บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า Diphthongs คืออะไร พร้อมตัวอย่างเสียงต่างๆ และคำศัพท์ที่ใช้ Diphthongs กันค่ะ ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มกันเลย

Diphthongs คืออะไร?

Diphthongs คือเสียงที่เกิดจากการรวมเสียงสระสองเสียงในพยางค์เดียว โดยเสียงจะเริ่มต้นด้วยเสียงหนึ่งและเปลี่ยนเป็นอีกเสียงหนึ่งในขณะเดียวกัน ตัวอย่างเช่น เสียง /ai/ ในคำว่า my เริ่มต้นด้วยเสียง /a/ และเปลี่ยนไปเป็น /i/

เสียง Diphthongs ที่พบบ่อยในภาษาอังกฤษ

เสียง Diphthongs มีหลากหลายรูปแบบ แต่เราจะมาดู 8 เสียงหลักที่พบบ่อยที่สุด

1. /ai/
เสียง: เริ่มจาก /a/ (อา) เปลี่ยนเป็น /i/ (อาย)
ตัวอย่างคำ:

  • my (ของฉัน)
  • sky (ท้องฟ้า)
  • bike (จักรยาน)

2. /ei/
เสียง: เริ่มจาก /e/ (เอ) เปลี่ยนเป็น /i/ (ไอ)
ตัวอย่างคำ:

  • day (วัน)
  • play (เล่น)
  • say (พูด)

3. /oi/
เสียง: เริ่มจาก /o/ (โอ) เปลี่ยนเป็น /i/ (ออย)
ตัวอย่างคำ:

  • boy (เด็กชาย)
  • toy (ของเล่น)
  • coin (เหรียญ)

4. /au/
เสียง: เริ่มจาก /a/ (อา) เปลี่ยนเป็น /u/ (อาว)
ตัวอย่างคำ:

  • out (ออก)
  • house (บ้าน)
  • loud (เสียงดัง)

5. /əu/
เสียง: เริ่มจาก /ə/ (เออะ) เปลี่ยนเป็น /u/ (โอ)
ตัวอย่างคำ:

  • go (ไป)
  • so (ดังนั้น)
  • no (ไม่)

6. /iə/
เสียง: เริ่มจาก /i/ (อี) เปลี่ยนเป็น /ə/ (เออะ)
ตัวอย่างคำ:

  • idea (ความคิด)
  • near (ใกล้)
  • dear (ที่รัก)

7. /eə/
เสียง: เริ่มจาก /e/ (เอ) เปลี่ยนเป็น /ə/ (เออะ)
ตัวอย่างคำ:

  • air (อากาศ)
  • care (ดูแล)
  • hair (ผม)

8. /uə/
เสียง: เริ่มจาก /u/ (อู) เปลี่ยนเป็น /ə/ (เออะ)
ตัวอย่างคำ:

  • pure (บริสุทธิ์)
  • tour (ท่องเที่ยว)
  • sure (แน่ใจ)

เคล็ดลับการจดจำ Diphthongs

1. ฟังเสียงบ่อยๆ
ฝึกฟังคำที่มี Diphthongs ผ่านเพลง การ์ตูน หรือวิดีโอภาษาอังกฤษ เพื่อให้คุ้นเคยกับเสียงลูกผสม

2. ฝึกอ่านออกเสียงคำที่มี Diphthongs
เช่น อ่านคำว่า day, boy, house โดยเน้นเสียงลูกผสมให้ชัดเจน

3. ใช้แฟลชการ์ดคำศัพท์
สร้างแฟลชการ์ดคำศัพท์ที่มี Diphthongs และฝึกออกเสียงพร้อมเชื่อมโยงความหมายกับภาพ

4. ใช้เกมจับคู่เสียง
เล่นเกมจับคู่คำที่มีเสียง Diphthongs เหมือนกัน เช่น boy – toy หรือ play – day

ตัวอย่างคำศัพท์เพิ่มเติม

คำที่มีเสียง /ai/:

  • time (เวลา)
  • like (ชอบ)
  • fine (ดี)

คำที่มีเสียง /oi/:

  • noise (เสียงดัง)
  • voice (เสียงพูด)
  • oil (น้ำมัน)

คำที่มีเสียง /au/:

  • shout (ตะโกน)
  • about (เกี่ยวกับ)
  • mouth (ปาก)

Diphthongs หรือเสียงลูกผสม คือเสียงที่เกิดจากการรวมกันของสระสองตัวในพยางค์เดียว เช่น เสียง /ai/ ใน my หรือ /oi/ ใน boy การเรียนรู้ Diphthongs ผ่านการฟัง การออกเสียง และกิจกรรมสนุกๆ จะช่วยให้เด็กๆ เข้าใจและออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและมั่นใจมากยิ่งขึ้น อย่าลืม ชวนเด็กๆ ฝึกกันบ่อยๆ นะคะ 

Phonics เสียง r controlled ในโฟนิกส์ภาษาอังกฤษ คืออะไรออกเสียงอย่างไร

เสียง R-Controlled คืออะไร ออกเสียงอย่างไร

, ,

เสียง R-Controlled คืออะไร ออกเสียงอย่างไร

ในภาษาอังกฤษ มีคำศัพท์หลายคำที่ตัวอักษร r เข้ามาเปลี่ยนแปลงการออกเสียงของสระ ทำให้เสียงสระนั้นไม่เหมือนกับเสียงสระทั่วไป เราเรียกเสียงนี้ว่า R-Controlled Sounds หรือที่บางคนเรียกว่า Bossy R เพราะ r ทำหน้าที่ “ควบคุม” เสียงสระที่อยู่ข้างหน้า

บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจ R-Controlled Sounds แบบละเอียด พร้อมตัวอย่างคำแบบเข้าใจง่ายๆ กัน!

 

R-Controlled Sounds คืออะไร?

R-Controlled Sounds เกิดขึ้นเมื่อสระ (a, e, i, o, u) อยู่หน้าตัว r และเสียงของสระนั้นจะถูกเปลี่ยนไป เช่น

  • ar ในคำว่า car ไม่ได้ออกเสียง /แอะ/ แบบปกติ แต่กลายเป็น /อาร์/
  • or ในคำว่า fork ก็ไม่ได้ออกเสียง /โอ/ แบบปกติ แต่กลายเป็น /ออร์/

 

เสียง R-Controlled มีอะไรบ้าง?

R-Controlled Sounds หลักๆ มี 5 เสียง ได้แก่:

1. AR (/อาร์/)
ตัวอย่างคำ:

  • car (รถ)
  • star (ดาว)
  • far (ไกล)

2. ER (/เออร์/)

ตัวอย่างคำ:

  • her (เธอ)
  • better (ดีกว่า)
  • teacher (ครู)

3. IR (/เออร์/)
ตัวอย่างคำ:

  • bird (นก)
  • shirt (เสื้อ)
  • third (ที่สาม)

4. OR (/ออร์/)
ตัวอย่างคำ:

  • fork (ส้อม)
  • horse (ม้า)
  • north (ทิศเหนือ)

5. UR (/เออร์/)
ตัวอย่างคำ:

  • turn (เลี้ยว)
  • hurt (เจ็บ)
  • nurse (พยาบาล)

 

เคล็ดลับการสอน R-Controlled Sounds ให้เด็กๆ


1. ใช้ภาพประกอบคำศัพท์
ภาพที่สื่อถึงคำศัพท์ เช่น รูปดาวสำหรับ star หรือรูปรถสำหรับ car จะช่วยให้เด็กเข้าใจความหมายและเชื่อมโยงกับเสียงได้ง่ายขึ้น

2. เล่นเกมจับคู่เสียงกับคำ
สร้างการ์ดคำ R-Controlled เช่น bird, car, fork ให้เด็กจับคู่คำกับภาพหรือเสียง

3. ใช้แฟลชการ์ด
ทำแฟลชการ์ดคำศัพท์ R-Controlled เช่น

ด้านหนึ่งเขียนคำว่า her อีกด้านมีภาพหญิงสาว
ด้านหนึ่งเขียนคำว่า bird อีกด้านเป็นภาพนก

4. ฝึกออกเสียงด้วยการร้องเพลง
สร้างเพลงสนุกๆ ที่เน้นคำที่มี R-Controlled Sounds เช่น car, far, star

5. ฝึกเขียนคำ R-Controlled
ให้เด็กลองเขียนคำที่มีเสียง R-Controlled เพื่อจดจำโครงสร้างของคำ เช่น north, hurt, better

 

เสียง R-Controlled หรือ Bossy R เป็นอีกหนึ่งเสียงสำคัญที่ควรรู้ในภาษาอังกฤษ ตัว r จะเปลี่ยนเสียงสระให้แตกต่างจากเดิม เช่น ar ใน car หรือ or ใน fork การเรียนรู้ R-Controlled Sounds ช่วยให้การอ่านออกเสียงและสะกดคำง่ายขึ้นและมั่นใจขึ้นอย่างแน่นอน

 

Magic E หรือ Silent E ในภาษาอังกฤษคืออะไร ทำหน้าที่อะไร

Magic E หรือ Silent E: สระวิเศษที่เปลี่ยนเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ!

, ,

Magic E หรือ Silent E ในภาษาอังกฤษคืออะไร ทำหน้าที่อะไรในคำ

เคยสังเกตไหมว่าคำบางคำในภาษาอังกฤษมีตัว e ซ่อนอยู่ท้ายคำ แต่เจ้า e ตัวนี้ไม่ได้ออกเสียงเลย? และนี่ก็คือ Magic E หรือ Silent E นั่นเอง ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการเปลี่ยนเสียงสระในคำศัพท์จากเสียงสระสั้น (Short Vowel Sound) ให้กลายเป็นเสียงสระยาว (Long Vowel Sound)

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก Magic E อย่างละเอียด พร้อมตัวอย่างที่ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายมากๆ!

 

Magic E คืออะไร?

Magic E คือ e ที่อยู่ท้ายคำ และถึงแม้มันจะไม่ออกเสียง แต่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนเสียงของสระในคำศัพท์

  • ถ้าคำไม่มี Magic E: สระในคำจะออกเสียงสั้น (Short Vowel Sound)
  • ถ้าคำมี Magic E: สระในคำจะออกเสียงยาว (Long Vowel Sound)

 

ตัวอย่างของ Magic E กับการเปลี่ยนเสียง

1. คำที่มีสระ A

  • cap (แคป) -> cape (เคป) เสียง a เปลี่ยนจาก /แอะ/ เป็น /เอ/
  • mad (โกรธ) -> made (ทำ) เสียง a เปลี่ยนจาก /แอะ/ เป็น /เอ/

2. คำที่มีสระ E

  • pet (สัตว์เลี้ยง) -> Pete (ชื่อคน) เสียง e เปลี่ยนจาก /เอะ/ เป็น /อี/
  • men (ผู้ชาย) -> mean (หมายถึง) เสียง e เปลี่ยนจาก /เอะ/ เป็น /อี/

3. คำที่มีสระ I

  • kit (ชุดเครื่องมือ) -> kite (ว่าว) เสียง i เปลี่ยนจาก /อิ/ เป็น /ไอ/
  • bit (กัด) -> bite (กัด) เสียง i เปลี่ยนจาก /อิ/ เป็น /ไอ/

4. คำที่มีสระ O

  • hop (กระโดด) -> hope (หวัง) เสียง o เปลี่ยนจาก /เอาะ/ เป็น /โอ/
  • not (ไม่) -> note (โน้ต) เสียง o เปลี่ยนจาก /เอาะ/ เป็น /โอ/

5. คำที่มีสระ U

  • cub (ลูกสัตว์) -> cube (ลูกบาศก์) เสียง u เปลี่ยนจาก /อะ/ เป็น /ยู/
  • hug (กอด) -> huge (ใหญ่โต) เสียง u เปลี่ยนจาก /อะ/ เป็น /ยู/
  •  

กฎการใช้ Magic E ที่ควรรู้

  • Magic E มักจะเจอในคำที่มีพยางค์เดียว เช่น bike, cake, note
  • Magic E ไม่ออกเสียง แต่จะเปลี่ยนเสียงสระในคำศัพท์
  • Magic E ใช้ไม่ได้กับทุกคำ ตัวอย่างเช่น have หรือ give ถึงแม้จะมี e ท้ายคำ แต่เสียงสระยังคงสั้น

 

กิจกรรมสนุกสำหรับการสอน Magic E

1. เกมจับคู่คำ
ให้เด็กจับคู่คำที่ไม่มี Magic E กับคำที่มี Magic E และฝึกออกเสียงคำ เช่น

  • hop – hope
  • cap – cape
  • bit – bite


2. สร้างแฟลชการ์ด Magic E
เตรียมการ์ดคำศัพท์ที่มีทั้งคำสระสั้นและคำสระยาว เช่น

  • ด้านหนึ่งเขียนคำว่า pet อีกด้านเขียน Pete
  • ด้านหนึ่งเขียนคำว่า kit อีกด้านเขียน kite


3. วาดภาพประกอบคำศัพท์
ให้เด็กๆ วาดรูปคำที่มี Magic E เช่น cake, bike, note พร้อมกับฝึกออกเสียงไปด้วย

4. ร้องเพลง Magic E
ใช้เพลงที่มีจังหวะสนุกๆ สอดแทรกคำที่มี Magic E เช่น make, name, home เพื่อช่วยจดจำ

 

โดยสรุปแล้ว Magic E คือ e ที่อยู่ท้ายคำ ซึ่งไม่ออกเสียง แต่ช่วยเปลี่ยนเสียงสระในคำให้กลายเป็นเสียงยาว ตัวอย่างเช่น cap (แคป) เปลี่ยนเป็น cape (เคป) หรือ kit (คิท) เปลี่ยนเป็น kite (ไคท์) ทำให้คำศัพท์มีความหมายและเสียงแตกต่างกัน

การเรียนรู้ Magic E เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เด็กๆ อ่านและออกเสียงคำศัพท์ได้อย่างถูกต้อง สนุกกับการเรียน และเข้าใจภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น ลองเริ่มต้นจากคำง่ายๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความซับซ้อน พร้อมกิจกรรมสนุกๆ เพื่อให้เด็กจดจำได้ดียิ่งขึ้น

Phonics Long Vowel Sounds สระเสียงยาวในภาษาอังกฤษ คืออะไร มีอะไรบ้าง

Long Vowel Sounds: สระเสียงยาวในภาษาอังกฤษ มีอะไรบ้าง คลิกเลย

, ,

Long Vowel Sounds หรือสระเสียงยาวในภาษาอังกฤษ มีอะไรบ้าง

เราจะมาอธิบายให้ฟังแบบง่ายๆ พร้อมแล้วไปกันเลย

Long Vowel Sounds หรือ เสียงสระยาว เป็นสระที่สำคัญที่ช่วยให้เด็กๆ ออกเสียงคำศัพท์ได้ถูกต้อง เสียงเหล่านี้คือเสียงที่สระ a, e, i, o, และ u ออกเสียงเหมือนชื่อของตัวมันเอง และมักเจอในคำที่เราใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน

ลองมาดูกันว่ามันคืออะไร มีวิธีจดจำยังไง พร้อมตัวอย่างที่คุณสามารถนำไปใช้สอนเด็กๆ ได้ทันที!

 

Long Vowel Sounds คืออะไร?

เสียงสระยาวคือเสียงที่ออกมาเหมือนชื่อของสระนั้นๆ เช่น

  • a ออกเสียงเป็น /เอ/
  • e ออกเสียงเป็น /อี/
  • i ออกเสียงเป็น /ไอ/
  • o ออกเสียงเป็น /โอ/
  • u ออกเสียงเป็น /ยู/ หรือ /อู/


เสียงเหล่านี้มักพบในคำที่มีโครงสร้างพิเศษ เช่นคำที่ลงท้ายด้วย Magic E (ตัวอักษร e ที่ไม่ออกเสียง แต่มีผลต่อเสียงสระในคำ) หรือคำที่มี คู่สระ (Vowel Teams) เช่น ea และ ai

 

ตัวอย่างของ Long Vowel Sounds

1. Long A (/เอ/)
เสียงนี้พบได้ในคำที่มี Magic E หรือ Vowel Teams เช่น ai และ ay

ตัวอย่าง:

  • cake (เค้ก)
  • rain (ฝน)
  • day (วัน)


ทริคช่วยจำ: หากมี a ตามด้วย e ท้ายคำ เช่น name หรือ plate ให้ลองออกเสียง a เป็น /เอ/

 

2. Long E (/อี/)

เสียงนี้มักพบในคำที่มีคู่สระ ee หรือ ea

ตัวอย่าง:

  • tree (ต้นไม้)
  • sea (ทะเล)
  • these (สิ่งเหล่านี้)


ทริคช่วยจำ: ถ้าเห็น ee หรือ ea ให้ออกเสียงสระยาวเป็น /อี/ เช่นคำว่า meet หรือ bean

 

3. Long I (/ไอ/)
เสียงนี้มักเจอในคำที่มี Magic E หรือคู่สระ ie

ตัวอย่าง:

  • bike (จักรยาน)
  • five (ห้า)
  • pie (พาย)

ทริคช่วยจำ: สังเกตคำที่มี i ตามด้วย e เช่น time หรือ smile ให้ลองออกเสียง /ไอ/

 

4. Long O (/โอ/)

เสียงนี้พบในคำที่มี Magic E หรือคู่สระ oa

ตัวอย่าง:

  • home (บ้าน)
  • boat (เรือ)
  • snow (หิมะ)


ทริคช่วยจำ: ถ้าคำลงท้ายด้วย e และมี o อยู่ก่อน เช่น hope หรือ note ให้ลองออกเสียง /โอ/

5. Long U (/ยู/ หรือ /อู/)

เสียงนี้เจอในคำที่มี Magic E หรือคู่สระ ue

ตัวอย่าง:

  • cube (ลูกบาศก์)
  • blue (สีฟ้า)
  • tune (ทำนอง)


ทริคช่วยจำ: หากเจอ u ตามด้วย e หรือ ue ให้ลองออกเสียง /ยู/ เช่น cute หรือ /อู/ เช่น rude

 

Long Vowel Sounds กับ Magic E

Magic E เป็นตัวช่วยสำคัญในการเปลี่ยนเสียงสระสั้นให้เป็นเสียงสระยาว เช่น

  • cap (แคป) -> cape (เคป)
  • pin (พิน) -> pine (ไพน์)
  • not (น็อท) -> note (โน้ท)


ดังนั้น ถ้าคุณเห็นคำที่มี e อยู่ท้ายคำ (และมันไม่ออกเสียง) ให้เดาได้เลยว่าเสียงสระในคำจะยาวขึ้น!

กิจกรรมสนุกๆ สำหรับสอน Long Vowel Sounds

  1. เกมจับคู่คำ: ให้เด็กจับคู่คำที่มี Magic E เช่น cap – cape, pin – pine
  2. แฟลชการ์ดคำศัพท์: ใช้แฟลชการ์ดที่มีภาพและคำศัพท์ เช่น cake, bike, boat เพื่อช่วยให้เด็กจดจำคำและเสียงได้ง่ายขึ้น
  3. ร้องเพลง Phonics: ใช้เพลงที่มีเสียง Long Vowel เพื่อฝึกออกเสียง เช่น เพลง Long Vowel A ที่มีคำว่า day, play, cake

 

Long Vowel Sounds หรือเสียงสระยาวเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของเด็กๆ เสียงเหล่านี้ช่วยให้การออกเสียงคำศัพท์ถูกต้องและเข้าใจความหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมีจุดเด่นตรงที่เสียงสระออกมาเหมือนชื่อของตัวอักษร เช่น a, e, i, o, และ u

เสียง Long Vowel มักพบในคำที่มีโครงสร้างเฉพาะ เช่น Magic E (cake, home) หรือคู่สระ (rain, tree, boat) ซึ่งเรียนรู้ได้ง่ายด้วยการฝึกฝนผ่านกิจกรรมสนุกๆ อย่างเกมจับคู่คำ แฟลชการ์ด และเพลง Phonics

การสอน Long Vowel Sounds ไม่เพียงช่วยพัฒนาทักษะการอ่านและการออกเสียง แต่ยังเพิ่มความมั่นใจให้เด็กๆ ในการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันอีกด้วย ลองเริ่มต้นจากคำศัพท์ใกล้ตัว แล้วดูเด็กๆ สนุกกับการเรียนรู้ไปพร้อมกัน!

 

 

 

Phonics Short Vowel Sounds สระเสียงสั้นในภาษาอังกฤษ คืออะไร มีอะไรบ้าง

Short Vowel Sounds: สระเสียงสั้นในภาษาอังกฤษ พื้นฐานแรกๆ ที่สำคัญของ Phonics

, , ,

Short Vowel Sounds หรือสระเสียงสั้นในภาษาอังกฤษ

กลุ่มสระที่จัดได้ว่าเป็นพื้นฐานแรกๆ ที่สำคัญของการฝึกออกเสียงโฟนิกส์

เสียงสระ (Vowels) เป็นหนึ่งในพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะ Short Vowel Sounds หรือเสียงสระสั้นที่ช่วยให้เด็กๆ เข้าใจการออกเสียงคำศัพท์ได้อย่างถูกต้อง เสียงเหล่านี้มักพบในคำที่มีเพียงพยางค์เดียวและไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้วย Magic E หรือคู่สระ (Vowel Teams)

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Short Vowel Sounds พร้อมตัวอย่างที่เข้าใจง่ายและเคล็ดลับที่จะช่วยเด็กๆ เรียนรู้ได้อย่างสนุกและได้ผล

 

Short Vowel Sounds คืออะไร?

Short Vowel Sounds คือเสียงของสระ a, e, i, o, และ u ที่ออกเสียงสั้น เช่น

  • a ออกเสียงเป็น /แอะ/
  • e ออกเสียงเป็น /เอะ/
  • i ออกเสียงเป็น /อิ/
  • o ออกเสียงเป็น /เอาะ/
  • u ออกเสียงเป็น /อะ/

เสียงเหล่านี้มักพบในคำศัพท์ง่ายๆ เช่น cat, bed, pig, top, และ sun

 

ตัวอย่างเสียง Short Vowel แต่ละตัว

1. Short A (/แอะ/)
เสียง a สั้นๆ พบในคำที่ไม่มีตัวช่วยเปลี่ยนเสียง เช่น Magic E

ตัวอย่าง:

  • cat (แมว)
  • hat (หมวก)
  • bag (กระเป๋า)

2. Short E (/เอะ/)
เสียง e สั้นๆ ที่พบบ่อยในคำที่มีพยางค์เดียว

ตัวอย่าง:

  • bed (เตียง)
  • pen (ปากกา)
  • red (สีแดง)

3. Short I (/อิ/)
เสียง i สั้นๆ ที่ออกเสียงเหมือน “อิ”

ตัวอย่าง:

  • pig (หมู)
  • sit (นั่ง)
  • big (ใหญ่)

4. Short O (/เอาะ/)
เสียง o สั้นๆ คล้ายกับเสียง “เอาะ”

ตัวอย่าง:

  • top (ยอด)
  • dog (สุนัข)
  • pot (หม้อ)

5. Short U (/อะ/)
เสียง u สั้นๆ คล้ายกับ “อะ”

ตัวอย่าง:

  • sun (ดวงอาทิตย์)
  • cup (ถ้วย)
  • bus (รถบัส)

วิธีสอน Short Vowel Sounds ให้เด็กๆ
1. ใช้ภาพประกอบคำศัพท์
การเชื่อมโยงเสียงสระสั้นกับภาพ เช่น รูปแมวคู่กับคำว่า cat จะช่วยให้เด็กเข้าใจและจดจำเสียงได้ง่ายขึ้น

2. แฟลชการ์ดคำศัพท์
ใช้แฟลชการ์ดที่มีคำศัพท์เสียงสระสั้น เช่น pig, dog, cup เพื่อฝึกฝนการออกเสียง

3. ร้องเพลง Phonics
เพลงที่เน้นเสียงสระ เช่น เพลงเกี่ยวกับ Short Vowel จะช่วยให้เด็กๆ ซึมซับได้ง่ายและสนุกกับการเรียน

 

Short Vowel Sounds เป็นพื้นฐานที่สำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ ช่วยให้เด็กๆ เข้าใจการออกเสียงและพัฒนาทักษะการอ่านได้อย่างมั่นใจ การสอนเสียงเหล่านี้ควรเริ่มจากคำง่ายๆ พร้อมกิจกรรมสนุกๆ เช่น เกมจับคู่คำ แฟลชการ์ด และการร้องเพลงที่มีเสียงสระสั้น

 

 

 

 

Phonics คือ อะไร มีอะไรบ้าง

Phonics คือ อะไร

, ,

Phonics กุญแจสำคัญสู่การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ

ถ้าพูดถึงการเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กๆ หนึ่งในพื้นฐานที่สำคัญที่สุดก็คือ Phonics หรือการเรียนรู้เสียงตัวอักษรและการผสมเสียงในคำ ซึ่งช่วยให้เด็กๆ อ่านคำศัพท์ ออกเสียงได้ถูกต้อง และเข้าใจโครงสร้างของภาษาได้ง่ายขึ้น

Phonics ไม่ใช่แค่เรื่องของการอ่าน แต่ยังช่วยให้เด็กเชื่อมโยงตัวอักษรกับเสียงที่ได้ยินในชีวิตประจำวัน เมื่อเด็กๆ เข้าใจพื้นฐานนี้ การอ่าน การเขียน และการออกเสียงภาษาอังกฤษก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น

ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับ Phonics ประโยชน์ของ Phonics และเสียงใน Phonics กันค่ะ 

 

Phonics คืออะไร

Phonics คือการเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษร (letters) และเสียง (sounds) ของตัวอักษรนั้นๆ เพื่อช่วยให้เด็กอ่านคำศัพท์ได้อย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ตัวอักษร b ออกเสียงเป็น /บ/, ตัวอักษร s ออกเสียงเป็น /ซ/ หรือ a ออกเสียงเป็น /แอ/

 

ประโยชน์ของการเรียน Phonics

  1. ช่วยพัฒนาการอ่าน: เด็กจะสามารถถอดเสียงตัวอักษรในคำศัพท์ได้อย่างแม่นยำ
  2. สร้างพื้นฐานการออกเสียงที่ถูกต้อง: เด็กจะเข้าใจเสียงที่สัมพันธ์กับตัวอักษรแต่ละตัว เช่น เสียงสระยาวหรือสระสั้น
  3. เสริมทักษะการเขียน: เมื่อเด็กเข้าใจเสียง พวกเขาจะสามารถสะกดคำได้ง่ายขึ้น
  4. ช่วยให้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ได้เร็วขึ้น: Phonics ช่วยให้เด็กแยกเสียงคำศัพท์ใหม่และเข้าใจความหมายของคำได้อย่างรวดเร็ว

 

เสียง Phonics มีอะไรบ้าง

1. Long Vowel Sounds

เสียงสระยาว (Long Vowel Sounds) คือเสียงที่สระ (a, e, i, o, u) ออกเสียงเหมือนตัวมันเอง เช่น

  • a ในคำว่า cake
  • e ในคำว่า tree

คำที่มี Long Vowel Sounds มักปรากฏในรูปแบบ CVCe (คำที่ลงท้ายด้วย -e เช่น name, home) หรือการผสมสระ เช่น boat หรือ rain

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: Phonics – Long Vowel Sounds

 

2. Short Vowel Sounds

เสียงสระสั้น (Short Vowel Sounds) คือเสียงของสระที่ออกเสียงสั้น เช่น

  • a ในคำว่า cat
  • e ในคำว่า bed
  • i ในคำว่า sit

เสียงเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่เด็กควรเรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้น

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: Phonics – Short Vowel Sounds

 

3. R-Controlled Sounds

เสียงที่มีเสียง r  (R-Controlled Sounds) เช่น ar, er, ir, or, และ ur ตัวอย่างเช่น

  • car (คาร์)
  • bird (เบิร์ด)
  • fork (ฟอร์ก)

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: Phonics – R Controlled Sounds

 

4. Diphthong Sounds

เสียงผสม (Diphthong Sounds) เกิดจากการรวมเสียงสระสองเสียงเข้าด้วยกันในพยางค์เดียว เช่น

  • oi ในคำว่า coin
  • ow ในคำว่า cow

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: Phonics – Diphthong Sounds

 

5. Magic E Sound

Magic E คือการเติม e ไว้ท้ายคำ เพื่อเปลี่ยนเสียงสระให้กลายเป็นเสียงยาว เช่น

  • cap (แคป) -> cape (เคป)
  • pin (พิน) -> pine (ไพน์)

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: Phonics – Magic E Sound

 

6. Consonant Sounds

เสียงพยัญชนะ (Consonant Sounds) เป็นพื้นฐานที่เด็กๆ ควรรู้ เช่น เสียง b, d, หรือ t ตัวอย่างคำที่มีพยัญชนะชัดเจน เช่น

  • bat
  • dog
  • top

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: Phonics – Consonant Sounds

 

7. Digraph Sounds

Digraph คือการรวมพยัญชนะสองตัวที่ให้เสียงเดียว เช่น

  • sh ในคำว่า ship
  • ch ในคำว่า chair
  • th ในคำว่า thank

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: Phonics – Digraph Sounds

 

เคล็ดลับการสอน Phonics ให้ได้ผล

  1. ใช้ภาพและเสียงช่วยสอน: เด็กจะจดจำได้ง่ายขึ้นเมื่อมีภาพและเสียงประกอบ
  2. ฝึกออกเสียงผ่านเกมและกิจกรรม: เช่น เกมจับคู่คำหรือร้องเพลง Phonics
  3. เรียนรู้แบบค่อยเป็นค่อยไป: เริ่มจากเสียงง่ายๆ เช่น Consonant Sounds และ Short Vowel Sounds ก่อน
  4. ทบทวนคำศัพท์อย่างสม่ำเสมอ: ให้เด็กได้ฝึกฝนเสียงและคำศัพท์เดิมเพื่อสร้างความมั่นใจ

 

การเรียน Phonics ไม่เพียงช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ยังสนุกและท้าทายสำหรับเด็กๆ ด้วย เด็กๆ สามารถเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เตรียมพร้อมสำหรับการสื่อสารอย่างมั่นใจ! 

 

 

อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ ทำอย่างไร

อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ ทำอย่างไร

,

อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ ทำอย่างไร

อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ เริ่มต้นยังไงดี? เคล็ดลับง่ายๆ เริ่มได้จากที่บ้าน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สำคัญและใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือแม้แต่การพักผ่อน อย่างการดู Youtube การเล่นเกม หรือการฟังเพลง
และหนึ่งคำถามยอดฮิตจากหลายๆ บ้าน คือ ถ้าอยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ ต้องทำอย่างไร เริ่มต้นจากตรงไหน

ในความเป็นจริงแล้ว การฝึกภาษาอังกฤษก็จะมี 4 ทักษะที่สำคัญที่ควรต้องฝึก ไม่แตกต่างจากภาษาอื่น ได้แก่ ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน

เราจะมาเขียนถึงรายละเอียดกันในโพสต์นี้ค่ะ

1. ทักษะการฟัง (Listening) ทักษะแรกที่เริ่มได้ง่ายๆ และเริ่มได้เป็นอันดับแรก!
การฟังเป็นทักษะแรกที่ควรเริ่มฝึกค่ะ เพราะเป็นพื้นฐานของการเลียนแบบภาษา เด็กเล็กสามารถเรียนรู้คำศัพท์และสำเนียงได้ดีมากผ่านการฟังซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอ

วิธีฝึกง่ายๆ เริ่มได้จากที่บ้าน
– เปิดเพลงภาษาอังกฤษ เช่น “The Wheels on the Bus”, “If You’re Happy”
– ดูการ์ตูนหรือนิทานเสียง เช่น Peppa Pig, Storyberries, หรือ Little Fox
– สำหรับเด็กโตหน่อย เราสามารถเปิด Youtube ที่ช่วยฝึกทักษะการฟังแบบ Listing Comprehension ให้เด็กๆ ฝึกฟังและจับใจความ พร้อมตอบคำถามจากเนื้อเรื่องที่ได้ฟังได้ อย่างเช่นตัวอย่างด้านล่างนี้ค่ะ

2. ทักษะการพูด (Speaking) ทักษะที่ควรฝึกควบคู่ไปกับการฟัง

– ลองชวนเด็กๆ พูดคำศัพท์ง่ายๆ หรือประโยคสั้นๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันกันค่ะ
เช่น “Good morning”, “How are you?”, หรือ “I like apples.”
จะใช้แฟลชการ์ด รูปภาพ หรือบทสนทนาสั้นๆ มาช่วยกระตุ้นก็ได้
อย่ากลัวถ้าลูกออกเสียงยังไม่ชัด เพราะยิ่งฝึกบ่อย เขาก็จะยิ่งกล้าพูดมากขึ้น

3. ทักษะการอ่าน (Reading) เริ่มต้นง่ายๆ จากคำที่เจอบ่อยๆ
การอ่านคือกุญแจสำคัญสู่การเรียนรู้ในระดับต่อไป ซึ่งหนึ่งในจุดเริ่มต้นที่ดีคือการเรียนรู้ คำศัพท์ที่พบบ่อยที่สุด หรือ Sight Words

ในหนังสือเด็กทั่วไปกว่า 50-70% มักประกอบด้วยคำเหล่านี้ ถ้าเด็กจำได้และอ่านได้คล่อง จะช่วยให้เขาอ่านหนังสือได้เร็วขึ้น เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น และรู้สึกสนุกกับการอ่านมากขึ้นด้วย

หากคุณอยากรู้ว่า Sight Words คืออะไร และช่วยให้เด็กๆ อ่านหนังสือได้ดีขึ้นอย่างไร คลิกอ่านได้ที่นี่ค่ะ

นอกจาก Sight Words แล้ว อีกสิ่งที่ควรเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน คือ Phonics ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ เข้าใจเสียงของตัวอักษรและออกเสียงได้ถูกต้อง

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Phonics 

4. ทักษะการเขียน (Writing)
เมื่อฟัง พูด และอ่านได้แล้ว การเขียนก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่ควรเริ่มฝึกควบคู่กันไป เริ่มจากการเขียนคำศัพท์ง่ายๆ เขียนประโยคสั้นๆ เช่น
“I see a cat.”, “I like ice cream.”

คุณพ่อคุณแม่อาจใช้แบบฝึกหัดสนุกๆ หรือชวนลูกเขียนไดอารี่สั้นๆ ก็ช่วยให้เด็กได้ฝึกคิดและถ่ายทอดความคิดเป็นภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น

สำหรับเด็กในช่วงประถมต้น คุณพ่อคุณแม่อาจจะเริ่มแทรกไวยากรณ์ควบคู่กันไปกับการฝึกเขียน เพื่อช่วยพัฒนาการเขียนของเด็กๆ ให้ถูกต้องค่ะ

โดยการสอนไวยากรณ์ควรเริ่มอย่างมีลำดับเพราะจะช่วยให้เด็กๆ ค่อยๆ ต่อยอดและเข้าใจเป็นลำดับๆ ไป โดยอาจใช้ตัวช่วยอย่างแบบฝึกหัดไวยากรณ์ (Grammar) สำหรับเด็กหลายๆ รูปแบบ ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จากการฝึกทำและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่เจอค่ะ

โดยสรุปแล้ว
การทำให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดหรือเริ่มจากตำราเสมอไป พ่อแม่สามารถเริ่มต้นจากกิจกรรมสนุกๆ ที่ทำร่วมกันในชีวิตประจำวัน เช่น ดูการ์ตูน ร้องเพลง อ่านนิทาน และชวนคุยภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ

เมื่อเด็กเริ่มฟัง พูด อ่าน เขียนได้แล้ว ค่อยๆ เสริมเรื่อง Grammar เข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ ก็จะช่วยให้เขาใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง มั่นใจ และพร้อมต่อยอดสู่การเรียนรู้ระดับสูงขึ้นในอนาคตค่ะ

Back To Top
แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัย อนุบาล ประถม ป.1-6

Powered by simplificstudio.com